การประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ณ หอประชุมใหญ่ อาคาร 9 ชั้น 2 บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ กทม.เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาเวลา 17.30 น.โดยวาระการประชุมที่สำคัญคือ "การเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภา" โดย ศ.ร้อยเอก ทินพันธุ์ นาคะตะ ทำหน้าที่ประธานชั่วคราว ในการประชุมวุฒิสภาครั้งแรก ด้วยความอาวุโสสูงสุด อายุ 85 ปี พร้อมกับนำสมาชิกวุฒิสภากล่าวคำปฏิญาณตน
เมื่อถึงวาระการเลือกประธานวุฒิสภานายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอชื่อ "ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย" ชิงตำแหน่ง โดยมีสมาชิกรับรองตามข้อบังคับ ซึ่งปรากฏว่าไม่มีผู้เสนอชื่อบุคคลอื่นแข่งแต่อย่างใด ทำให้ ศ.พิเศษ พรเพชร ได้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา
สำหรับ ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ปัจจุบันอายุ 70 ปี อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ปรึกษาและกรรมการในคณะอำนวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นรองประธานกรรมการ นที่หนึ่ง ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ กรรมการในคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ กรรมการในคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ กรรมการในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2560[4] เป็นอดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฏีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 4 และที่ปรึกษากฎหมายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2491 จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จากวชิราวุธวิทยาลัย ปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม อันดับ 2) ปี 2515 จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบเนติบัณฑิตไทย จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ในปีเดียวกัน และในปี 2518 จบปริญญาโทด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยทุนรัฐบาล (ก.พ.) และผ่านการศึกษาอบรมจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.41) และสถาบันพระปกเกล้า ปปร.11) ด้านประวัติครอบครัว สมรสกับนางอารยา วิชิตชลชัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา
ย้อนกลับไปในสมัยที่เรียนหนังสือ ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย เคยเป็นหัวหน้าเด็ก ซึ่งท่านได้บันทึกเรื่องราวในการแก้ปัญหาในสมัยนั้นไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
หัวหน้า พรเพ็ชร์ วิชิตชลชัย
ผมเป็นหัวหน้าเด็ก เด็กหลายคนบอกว่าผมเป็นหัวหน้าที่ใจดี แต่ช่างเถอะใครจะว่าผมใจร้ายหรือใจดี ผมก็ไม่ค่อยเก็บมากังวล แต่คำว่าหัวหน้านี้ผมรู้สึกภูมิใจมาก คณะผมมีหัวหน้าทั้งหมดเก้าคน ถึงแม้ผมจะเป็นหัวหน้าประเภทหางแถวกล่าวคือหาความสำคัญไม่ค่อยจะได้ ผมก็ยังภูมิใจอยู่นั่นเอง ผมยังจำได้ดีถึงตอนผมเป้นเด็กๆ ที่พึ่งเข้าใหม่ตอนนั้น ในความรู้สึกของผมหัวหน้านั้นใหญ่มาก มิไช่รูปร่างและตัวใหญ่อย่างเดียว หากแต่มีอำนาจมากอีกด้วย จึงนับว่าเป็นคนใหญ่มิใช่น้อย ผมยอมรับตามตรงว่าผมกลัวหัวหน้ามาก เวลาจะพูดจะจา หรือจะเดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องระมัดระวังเป็นที่สุด ดีไม่ดีเดียวเจ็บตัวเอาง่ายๆ เวลาจะกินข้าวหรือทำการบ้านผมก็พยายามทำตัวให้เงียบกริบ แต่ก็ยังไม่วายโดนไม้เรียวจากหัวหน้าบางครั้งบางคราว
ตอนเป้นเด็กผมเป็นเด็กกะโปโลคนหนึ่งเท่านั้นเอง แถมยังอ่อนแอขี้โรคอีกด้วย คุณแม่อุตสาห์เอาวิตามินมาให้กินบำรุงกำลังอยู่เสมอ แต่ก็ยังถูกล้อว่าเป็นกุ้งแห้งเยอรมัน ผมมักจะโดนแกล้งอยู่เสมอ ผมยังจำชื่อไอ้คนที่ชอบแกล้งผมได้ดี ตอนนี้ก็ถูกไล่ออกไปแล้ว ที่ผมเอาเรื่องนี้มาพูดก็มิใช่จะคิดเจ็บแค้นเคืองอะไรกัน ไอ้มนุษย์ที่ชอบแกล้งเด็กเป็นงานอดิเรกนี้ผมขอเรียกง่ายๆ ว่าไอ้แดง ไอ้แดงนี้มีรูปร่างใหญ่โตกว่าเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะมีอายุมากกว่าเพื่อน ไอ้แดงมันเห็นผมเป็นเด็กขี้โรคทั้งยังมีหน้าตา (ขอโทษที่ต้องใช้คำว่า) กวนตีนดังที่มันชอบด่าผมอยู่เสมอมันจึงแกล้งเอาๆ อย่างกับว่าผมเป็นหมูเป็นหมาตัวหนึ่ง บางทีไม่มีเรื่องอะไรมันก็หาว่าผมด่าแม่มัน แล้วก็ถือโอกาสชกต่อยเอา ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่นั่งสาปแช่งมันในใจ มันไม่ใช่จะแกล้งผมเท่านั้น เด็กคนอื่นๆ ก็ไม่ละเว้น เวลากลางคืนก่อนนอนมันก็อาละวาดเป็นประจำจนได้ฉายาว่า "สิงห์ห้องเด็ก"
ผมโดนแกล้งอยู่ตั้งนานจนทนไม่ไหว รวบรวมกับความใจกล้าหน้าด้านไปร้องหัวหน้า ด้วยความหวังว่าหัวหน้าคงเอาไม้เรียวฟาดมันเสียบ้าง แต่อนิจจา!... ผมต้องพบกับความผิดหวัง หัวหน้าฟังเรื่องแล้วก็นั่งหัวเราะเหมือนได้รับฟังเรื่องจี้เส้นขั้นเยี่ยม
"ลื้อมีมือมีตืนหรือเปล่า?" ผมยังจำคำพูดของหัวหน้าชั้นคนนั้นได้ดี
"มีครับ" ผมตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
"มีแล้วก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์สิวะ" หัวหน้าตอบแล้วก็นั่งหัวเราะชอบใจ
ผมเดินออกมาจากห้องหัวหน้าทันที ทิฐิมานะและความคิดสู้บังเกิดขึ้นในหัวใจของผมทันที อีกสองวันต่อมาผมก็ไปมีเรื่องชกช่อยกับไอ้แดงเข้าจนได้ ผมรวบรวมความกล้าเข้าแลกหมัดกับมัน ถึงแม้ผมจะถูกหมัดมันจนหน้าตาปูดโปไป ผมก็ยังดีใจที่ได้มีโอกาสเอากำปั้นน้อยๆ ของผมฝากไว้บนหน้าและตามตัวของมันได้ ตั้งแต่นั้นไอ้แดงก็ไม่มายุ่งเกี่ยวกับผม ทั้งนี้ก็เพราะมันรู้ว่า ผมนั้นมีเลือดนักสู้ขึ้นมาบ้างแล้ว และอีกประการหนึ่งผมก็เริ่มเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ และมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ผิดกับมันซึ่งนับวันก็ยิ่งซีดเซียวลงเนื่องจากสูบบุหรี่จัด และในที่สุดก็ถูกไล่ออกไปตามระเบียบ
เดี๋ยวนี้ผมเป็นห้วหน้าแล้วก็มีอำนาจหน้าที่พอสมควรตามที่ทางโรงเรียนมอบหมายให้ ความเจ็บแค้นเรื่องไอ้แดงนั้นก็หายไปแล้วตามกาลเวลา เดี๋ยวนี้เจอมันข้างนอกมันขอเงินใช้ผมก็ให้มันโดยดี และยังคิดว่ามันคงยังเป็นเพื่อนอยู่นั่นเอง และผมยังนึกชอบใจมันอยู่ดีที่ทำให้ผมเกิดเลือดนักสู้ขึ้นมาบ้าง มิฉะนั้นผมอาจจะถูกล้ออยู่ว่าเป็นหน้าตัวเมีย
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วขณะที่ผมกำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นหัวหน้าด้วยกัน ก็มีอีกคนหนึ่งร้องให้เข้ามา ไต่ถามก็ได้เรื่องราวว่าถูกแกล้ง เด็กที่เข้ามาหาผมนั้นเป็นเด็กที่เพิ่งมาจากเด็กเล็กปีนี้เอง รูปร่างก็มิใช่ผอมบางนัก หากแต่มีนิสัยกระเดือกไปทางสตรีเพศ ผมสังเกตมานานแล้วว่า เด็กคนนี้มักจะโดนล้อและโดนแกล้งเสมอ
หัวหน้าสมัยผมนี้มีระเบียบการปกครองเข้มแข็ง เนื่องจากผู้กำกับท่านคอยกวดขันอยู่เสมอ ให้หัวหน้าในคณะดูแลลูกน้องให้อยุ่เย็นเป็นสุข
"ว่าไงโกร่งเฆี่ยนคนที่ชอบแกล้งเด็กนี้เสียดีไหม" หัวหน้าคนหนึ่งแนะนำผม
"อั๊วว่าเฆี่ยนเสียดีกว่า ไอ้คนพรรค์นี้เก็บไว้เดี๋ยวได้ใจ แกล้งเด็กเรื่อย" เพื่อนผมอีกคนแนะนำ "แต่เรื่องนี้อั๊วยกให้ลื๊อตัดสินเองดีกว่า จะเอาอย่างไรแล้วแต่ลื๊อ"
เอาแล้วซิเพื่อนผมหาเหาใส่ศีรษะผมเข้าเสียแล้ว ผมยิ่งกำลังหาทางปลีกตัวไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย
ผมนั่งคิดอยุ่ชั่วครู่แล้วก็มองหน้าเด็กคนนั้นด้วยความพิจารณาอย่างถี่่ถ้วน และแล้วผมก็พูดด้วยเสียงชาเย็น
"ไป! กลับไป! มีมือมีตืนหัดสู้เขาเสียบ้างซิ"
ผมพูดได้แค่นี้ก็เบือนสายตาหนีไปจากหน้าอันเศร้าหมองของเจ้าเด็กคนนั้นที่กำลังเดินออกจากห้องไป เพื่อนฝูงพากันสงสัยต่างๆ นานา ที่ผมไม่ยอมเฆี่ยนไอ้มนุษย์แกล้งเด็กบางคนก็หาว่าผมใจอ่อนไม่กล้าเฆี่ยนบ้าง บางคนก็หาว่าผมไม่มีใจยุติธรรม
สองวันต่อมาผมกะจะไปเล่นสควอชซะหน่อย แต่ขณะที่ผมกำลังจะไปถึงนั้นโรงสควอซก็ถูกดัดแปลงเป็นสนามมวยชั่วคราวไปเสียแล้ว มีคนดูกำลังส่งเสียงเชียร์กันอย่างหนาแน่น ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูว่านักมวยจำเป็นสองคนนั้นคือใคร ปรากฎว่าเด็กคนที่ร้องให้มาฟ้องผมว่าถูกรังแก กำลังชกกันกับเจ้ามนุษย์แกล้งเด็กคนนั้นนั่นเอง
ผมเดินออกจากโรงสควอชและก็ยังคิดไม่ตกว่าผมทำถูกหรือทำผิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี